หลายคนคงทราบกันดีว่าหนึ่งในอุปกรณ์ที่ถูกจับตามองและเป็นที่สนใจของผู้คนที่รักเสียงเพลงเสมอมาคงไม่พูดถึง ไม้กลอง ไม่ได้ โดยอุปกรณ์ชิ้นนี้เป็นอุปกรณ์ชิ้นเล็ก ๆ ที่สามารถขับเคลื่อนความสนุกสนานทางดนตรีได้ อีกทั้งในปัจจุบันไม้สำหรับตีกลองรุ่นใหม่ ๆ ก็มีออกมาให้เลือกมากมายหลากหลายรูปแบบทั้งไม้สำหรับตีสแนร์ ไม้สำหรับตีกลองนวม และไม้สำหรับกลองไฟฟ้า ในบทความนี้เราจะมาแนะนำวิธีการเลือกไม้สำหรับตีกลองที่เหมาะสำหรับแสดงและฝึกซ้อม
1. เลือกให้เหมาะสมกับแนวเพลงที่ใช้เล่นหรือขึ้นแสดง
ไม้กลอง แต่ละแบบถูกออกแบบมาให้มีลักษณะเฉพาะเพื่อให้การตีกลองในรูปแบบต่าง ๆ ได้เสียงที่ชัดเจนและก้องกังวานตามที่มือกลองต้องการมากขึ้น ดังนั้นการเลือกซื้อไม้สำหรับตีกลอง จึงจำเป็นต้องเลือกประเภทให้เหมาะสมสำหรับแนวเพลงที่เราใช้เล่นเป็นหลัก โดยในยุคปัจจุบันสามารถแบ่งไม้สำหรับตีกลองตามแนวเพลงได้ดังนี้
- ไม้สำหรับตีสแนร์ : ถือเป็นหนึ่งในไม้พื้นฐานสำหรับการใช้บรรเลงเพลงต่าง ๆ ซึ่งเป็นไม้อเนกประสงค์ที่สามารถใช้งานได้ทั่วไปเช่น ในวงโยธวาทิต หรือในการตีกลองชุด ไม้ชนิดนี้จึงมีน้ำหนักเบาหัวไม้มีลักษณะปลายแหลม เน้นเสียงใสกังวาน ส่วนหัวกลมเน้นเล่นความแน่นในจังหวะ เช่นเพลงร็อกหรือเมทัล
- ไม้สำหรับตีกลองนวม : ไม้กลอง ประเภทนี้ถูกออกแบบมาสำหรับการตีเบสรวมไปถึงการเตรียมอุปกรณ์เพอคัตชัน ที่ทำจากโลหะหรือทองเหลือง โดยตัวไม้เมื่อสัมผัสกับวัตถุจะให้เสียงนุ่มทุ้มลึก นิยมใช้เป็นอุปกรณ์เสริมเพื่อเพิ่มลูกเล่นในการตีกลองให้มีความหลากหลายขึ้น
- ไม้พิเศษ เช่น ไม้แส้ ไม้แบบท่อนตัน : ไม้พิเศษสร้างขึ้นมาให้มีลักษณะเฉพาะตัว ทั้งในเรื่องรูปแบบและรูปทรง เพื่อใช้ในวัตถุประสงค์ที่แตกต่างกันไป โดยส่วนมากนิยมนำมาใช้สำหรับนักดนตรีสายเครื่องเพอร์คัสชันที่ต้องการความหลากหลาย หรือเพิ่มความน่าสนใจให้เสียงเพลงมากขึ้น นอกจากนี้ยังสามารถนำไปใช้ร่วมกับการตีกลองสแนร์หรือกลองชุดเพื่อสร้างสรรค์เสียงดนตรีได้อีกด้วย
2. เลือกจากวัสดุเนื้อไม้
โดยทั่วไปไม้กลอง มักสร้างขึ้นจากไม้จริงเป็นหลัก เพื่อให้ได้คุณภาพเสียงที่สมบูรณ์และก้องกังวาน แต่ในบางกรณีก็มีการนำวัสดุอื่นเช่นอะลูมิเนียมหรือพลาสติกมาผสมหรือใช้แบบไม่ผสมเพื่อให้ได้เสียงที่แตกต่างออกไป แต่ถึงอย่างนั้นในกรณีของไม้กลองที่ทำจากไม้ก็มีขนาด น้ำหนัก และความทนทานที่แตกต่างกัน ดังนั้นนักเล่นกลองมืออาชีพจึงจำเป็นต้องใช้รูปแบบของเนื้อไม้ในการพิจารณาก่อนการตัดสินใจเลือกซื้อเป็นหลัก โดยไม้ที่นิยมใช้มี 4 แบบ ซึ่งแต่ละประเภทจะให้เนื้อเสียง และน้ำหนักที่แตกต่างกันออกไป เช่น
- ไม้เมเปิล เป็นไม้ที่นิยมนำมาผลิตเครื่องดนตรี เนื่องจากเป็นไม้เนื้ออ่อนที่ให้โทนเสียงกลาง จึงเหมาะมากสำหรับการใช้เล่นดนตรีที่หลากหลาย สามารถใช้ได้ทั้งมือใหม่และมืออาชีพ ด้วยน้ำหนักที่เบา ทว่าข้อเสียคือไม่ทนแรงตีมากนัก
- ไม้ฮิคคอรี่ เป็นไม้เนื้อแข็งเหมาะสำหรับการใช้เล่นเพลงเฮฟวี่ร็อค ข้อเสียคือ ซาวด์จะมีความกระด้าง จึงไม่ค่อยเหมาะนัก ที่จะนำมาเล่นเพลงแจ๊สหรือเพลงเบา ๆ
- ไม้โอ๊ค เป็นไม้เนื้อแข็ง ซึ่งแข็งกว่าไม้เมเปิลแต่อ่อนกว่าไม้ฮิคคอรี่ ให้โทนเสียงกลาง มีข้อเสียคือ เวลาตีจะมีแรงสะท้อนกลับออกมาเยอะ ทำให้เมื่อนักดนตรีใช้ ไม้กลอง ชนิดนี้จะมีอาการปวดข้อมือ จึงไม่แนะนำสำหรับมือใหม่
- วัสดุไฟเบอร์ เป็นสารสังเคราะห์ที่นำมาขึ้นรูปใหม่ ข้อดีคือตัวไม้มีน้ำหนักเบา มีความทนทานสูง ข้อเสียคือซาวด์ที่ได้จะกระด้างมาก จึงเหมาะสำหรับการฝึกซ้อมมากกว่า
3. ตรวจสอบน้ำหนักและขนาดของไม้ตามความเหมาะสม
เพื่อให้การแสดงและการฝึกซ้อมมีประสิทธิภาพ เราจำเป็นต้องดูขนาดและน้ำหนักของ ไม้กลอง ให้มีความเหมาะสม ถนัดมือ ไม่หนักหรือใหญ่จนเกินไป โดยในยุคปัจจุบันไม้สำหรับตีกลอง ระบุลักษณะและขนาดไว้เป็นภาษาอังกฤษและสัญลักษณ์สำคัญ ได้แก่
- A (orchestra) ไม้ชนิดนี้จะใช้ในวง orchestra เป็นไม้ที่มีขนาดเล็ก
- B (Band) นิยมใช้ในวง Brass Band ที่เน้นเสียงดัง ออกแบบมาให้มีความใหญ่
- S ไม้ขนาดใหญ่หรือเรียกว่าไม้ street นิยมใช้ในวงขนาดใหญ่เช่น วงโยธวาทิต หรือกลองพลกลองในหน่วยทหาร
นอกจากนี้ตัวเลขที่ระบุถึงขนาดบนไม้ ยิ่งตัวเลขมากไม้สำหรับตีกลองก็จะมีเส้นผ่านศูนย์กลางที่เล็กลงไป ตามลำดับ
ไม้กลอง เป็นหนึ่งในอุปกรณ์ชิ้นสำคัญที่นักดนตรีโดยเฉพาะมือกลองขาดไม่ได้ โดยวิธีการเลือกซื้อไม้ที่เรานำมาแบ่งปันจะช่วยให้ผู้ที่สนใจหรือผู้ที่ต้องการเปลี่ยนไม้ เลือกซื้อได้อย่างมีประสิทธิภาพ คุ้มค่า คุ้มราคา มากยิ่งขึ้น ทั้งนี้การเลือกไม้สำหรับใช้ใตีกลองแต่ละแบบก็ขึ้นอยู่กับความชอบและแนวเพลงในการเล่นของนักดนตรีแต่ละคนดังนั้นผู้ที่สนใจจึงจำเป็นต้องศึกษาข้อมูลและวัสดุไม้แต่ละชนิดให้ดี เพื่อเป็นประโยชน์ต่อการใช้งานและการดูแลรักษาในระยะยาว
อ่านบทความ 5 เหตุผลที่มือใหม่ ควรเริ่มต้นจาก กลองไฟฟ้า มากกว่ากลองจริง พร้อมบอกวิธีการดูแลรักษา