
เครื่องเป่าลมไม้ที่ฟังดูคล้าย ๆ กันกับเครื่องเป่าลมทองเหลืองแต่ต่างกันอย่างเห็นได้ชัด แม้ตัวเครื่องดนตรีทำจากวัสดุต่าง ๆ ได้หลากหลาย แต่ส่วนที่สำคัญที่สุดอย่าง “ลิ้น” จะทำมาจากไม้เท่านั้น
นอกจากนี้เครื่องดนตรีประเภทนี้ยังแบ่งประเภทได้อย่างกว้าง ๆ เป็น 2 ประเภทอีกด้วย ได้แก่ ประเภทเป่าลมเข้าไปในรูเป่า และประเภทเป่าลมให้ผ่านลิ้นของเครื่องดนตรี ประเภทแรกจะคุ้นเคยกันในชื่อประเภทขลุ่ยเนื่องจากลำตัวมีลักษณะเป็นท่อ แบ่งตามลักษณะของการเป่าได้ 2 ประเภท คือ ประเภทเป่าตรงปลายและประเภทเป่าลมเข้าทางด้านข้าง
ส่วนประเภทเป่าลมให้ผ่านลิ้นของเครื่องดนตรีหรือก็คือเครื่องเป่าประเภทปี่ มีส่วนประกอบที่สำคัญคือมีลิ้นเป็นตัวสั่นสะเทือน โดยลิ้นจะอยู่ตรงปลายด้านหนึ่งของปี่ เมื่อเป่าลมผ่านลิ้นให้เกิดการสั่นสะเทือนลมจะเข้าไปในท่อซึ่งทำหน้าที่เป็นตัวขยายเสียงหรือตัวกำทอนแล้วออกไปยังปากลำโพง เครื่องดนตรีจำพวกปี่ยังจำแนกออกได้ตามลักษณะของลิ้นที่ใช้เป็นประเภทลิ้นคู่และลิ้นเดี่ยวอีกด้วย
เมื่อเกริ่นเรื่องเครื่องดนตรีประเภทเครื่องเป่าลมไม้มาขนาดนี้ แน่นอนว่าทางเพจก็มีเครื่องดนตรีบางชนิดที่น่าสนใจมาบอกเล่าต่อด้วยเหมือนกัน ซึ่งได้แก่ เมาท์ออแกน ฟลูต แซกโซโฟน และคลาริเน็ต
เมาท์ออแกนเป็นเครื่องเป่าลมไม้ของชาวสก๊อตแลนด์ในช่วงปี ค.ศ.1763 (ยุคคลาสสิก) ซึ่งพัฒนามาจากเครื่องเป่าของชนเผ่าอีทรีสกันในโรมันก่อนคริสตกาล 742 ปี นักดนตรีชาวฝรั่งเศสชื่อชาลส์ โรลบินส์ได้พัฒนาเครื่องเป่าที่หนักมากกว่า 2.7 กิโลกรัมลดเหลือเพียง 1.3 กิโลกรัม อีกทั้งยังมีเสียงที่ไพเราะมากกว่าเดิม เขาจึงนำมันไปขายโดยให้ชื่อว่า “ชาล โรลออร์แกนิส” แต่ผลปรากฏว่าล้มเหลวไม่เป็นท่าเพราะขายไม่ได้แม้แต่เครื่องเดียว ทำให้เครื่องดนตรีชิ้นนี้ถูกลบเลือนไปอย่างยาวนาน
แต่ต่อมานักดนตรีชาวฟินแลนด์ชื่อว่าโธมัส เมาท์เลทุสซึ่งมีอายุเพียง 16 ปีได้ซื้อเครื่องดนตรีชนิดนี้กลับมาอีกครั้ง และเขาพบว่ามันมีเสียงที่เพราะมาก ข้อเสียหลัก ๆ มีเพียงแค่เรื่องน้ำหนักที่หนักเกินไปเท่านั้น โธมัส เมาท์เลทุสจึงสร้างเครื่องดนตรีแบบนี้ขึ้นมาใหม่ให้มีขนาดกะทัดรัด เบาบาง และยังไพเราะด้วย และเมื่อเขาตัดสินใจนำไปขายผลปรากฏว่าขายดีมากเป็นพิเศษจึงได้ให้ชื่อว่า “เมาท์ออแกน” เครื่องดนตรีชิ้นนี้จึงแพร่ขยายไปทั่วโลกอย่างที่หลาย ๆ คนเคยเห็นจนถึงยุคนี้
ฟลูตอาจเรียกได้ว่าเป็นหนึ่งในเครื่องดนตรีแรก ๆ ของโลกก็ว่าได้ เนื่องจากฟลูตที่เป่าตามแนวนอนนั้นพบครั้งแรกที่ประเทศจีนเมื่อ 900 ปีก่อนคริสตกาล ก่อนจะมาถึงยุโรปเมื่อราวปี ค.ศ. 1100 ลักษณะเสียงของเครื่องดนตรีชนิดนี้มีความไพเราะ นุ่มนวล อ่อนหวาน และน่าฟังเหมาะกับดนตรีแจ๊ส จากประวัติศาสตร์ในปี ค.ศ. 1832 ผู้ผลิตเครื่องดนตรีชาวเยอรมันชื่อ Theobald Boehm ได้คิดค้นระบบการวางนิ้วของฟลูตใหม่ และเปลี่ยนวัสดุที่ใช้ผลิตจากไม้เป็นโลหะทำให้ฟลูตสามารถเรียนรู้ได้ง่ายยิ่งขึ้นและมีเสียงที่เจิดจ้าขึ้น ระบบเดียวกันนี้ยังถูกนำไปประยุกต์ใช้กับโอโบ คลาริเน็ต และแซกโซโฟนอีกด้วย จนเมื่อผู้คนเริ่มมีความต้องการเครื่องดนตรีที่มีความสามารถมากขึ้นก็เริ่มมีการพัฒนาจนเกิดเป็นฟลูตตะวันตก ซึ่งมีกลุ่มของแป้นกดที่มีความซับซ้อนมากขึ้นจากเดิม
ฟลูตมีหลากหลายรูปแบบขึ้นอยู่กับแหล่งที่มา โดยพื้นฐานแล้วฟลูตคือท่อปลายเปิดที่ถูกเป่าให้มีเสียงคล้าย ๆ กับการเป่าขวด นอกจากนี้ยังถูกแบ่งเป็นหลายประเภท โดยส่วนใหญ่ผู้เล่นจะเป่าไปที่ขอบของฟลูตเพื่อทำให้เกิดเสียง แต่ฟลูตบางประเภท เช่น ขลุ่ยหรือนกหวีดจะมีท่อนำลมไปยังขอบทำให้ง่ายต่อการเล่น แต่จะไม่สามารถควบคุมลักษณะของเสียงได้เหมือนกับการผิว ปกติแล้วขลุ่ยจะไม่ถูกเรียกว่าฟลูต แม้ว่ากายภาพ วิธีการ และเสียงจะคล้ายกับฟลูตก็ตาม
แซกโซโฟนได้รับฉายาว่า “คลาริเน็ตทองเหลือง” เหตุที่มีชื่อเรียกแบบนี้ก็เพราะว่าใช้ลิ้นเดี่ยวเหมือนคลาริเน็ต ตัวเครื่องมักจะทำจากโลหะ แต่สุ้มเสียงกลับกระเดียดมาทางเครื่องเป่าลมไม้นั่นเอง
แอ็กตอร์แบร์ลีโยซ (คีตกวี นักเขียน และนักวิจารณ์ชาวฝรั่งเศส) ได้กล่าวว่าเสียงของแซกโซโฟนคือการผสมผสานเข้าด้วยกันระหว่างซอเชลโล ปี่คอร์อังแกลส์ และปี่คลาริเน็ต แซกโซโฟนจะเล่นกระซิบกระซาบ อ่อนหวานนุ่มนวล หรือจะแผดให้แสบโสตประสาทก็ทำได้ จึงเหมาะสำหรับใช้เป็นเครื่องดนตรีบรรเลงประกอบการแสดง
Antoine – Joseph Sax หรือที่หลายต่อหลายคนรู้จักในชื่อ อดอล์ฟ แซกซ์ (Adolphe Sax) เป็นนักดนตรีเป่าฟลูตและคลาริเน็ตที่เป็นผู้ประดิษฐ์แซกโซโฟนขึ้น เนื่องจากพ่อของเขามีโรงงานประดิษฐ์เครื่องดนตรี โดยเฉพาะเครื่องเป่าลมไม้และเครื่องเป่าทองเหลืองอยู่ที่เมืองดินานท์ ประมาณปี ค.ศ. 1815 โรงงานของพ่อก็ย้ายไปอยู่ที่กรุงบรัสเซลส์ อดอล์ฟจึงได้เรียนรู้และได้รับการถ่ายทอดวิชาต่าง ๆ จากพ่อนับตั้งแต่นั้น และเขายังได้ศึกษาดนตรีที่สถาบันดนตรีแห่งกรุงบรัสเซลส์อีกด้วย ซึ่งเขาเลือกเรียนเป่าฟลูตและคลาริเน็ตนั่นเอง ระหว่างปี ค.ศ. 1840-1841 เขาได้ประดิษฐ์แซกโซโฟนและนำออกแสดงในงานนิทรรศการเครื่องดนตรีที่กรุงบรัสเซลส์ใน ค.ศ. 1841 แต่คณะกรรมการไม่ได้มอบรางวัลให้แก่เขาโดยอ้างว่าอายุน้อย เมื่อเขาย้ายไปตั้งร้านประดิษฐ์และซ่อมเครื่องดนตรีที่กรุงปารีสในปี ค.ศ. 1842 ร้านของเขาก็ได้รับความนิยมมากที่สุดในยุโรป โดยเฉพาะเครื่องเป่าลมไม้และเครื่องเป่าลมทองเหลืองที่เขาถนัดที่สุด
หากไม่มีอดอล์ฟในวันนั้นก็คงไม่มีแซกโซโฟนให้เราได้ใช้ในวันนี้ และเขายังได้รับฉายาว่าเป็นครูแซกโซโฟนคนแรกของโลกหลังจากเริ่มสอนที่สถาบันดนตรีแห่งกรุงปารีสในปี ค.ศ.1857 เป็นเวลา 13 ปีอีกด้วยหลังจากยุคของอดอล์ฟสิ้นสุดลงก็มีบริษัทเฮนรี่ เซลเมอร์แห่งปารีสซื้อร้านของเขามาดำเนินการแทน และได้ผลิตแซกโซโฟนยี่ห้อเซลเมอร์ ครั้งแรกในปี ค.ศ. 1920
เมื่อบอกเล่าประวัติความเป็นมาของแซกโซโฟนแล้วต่อไปก็เป็นเรื่องของประเภทของเครื่องดนตรีชนิดนี้ ซึ่งแซกโซโฟนถูกจัดให้อยู่ในตระกูลใหญ่เหมือนกันกับคลาริเน็ต แซกโซโฟนมีขนาดต่าง ๆ ถึง 7 ขนาดด้วยกัน ได้แก่ โซปราโนแซกโซโฟน อัลโต้แซกโซโฟน เทเนอร์แซกโซโฟน บาริโทนแซกโซโฟน เบสแซกโซโฟน คอนทร่าเบสแซกโซโฟน และซับคอนทร่าเบส แซกโซโฟน แต่ที่นิยมใช้มีอยู่ 4 ชนิด คือ แซกโซโฟนโซปราโนแซกโซโฟนอัลโต้ แซกโซโฟนเทเนอร์ และบาริโทนแซกโซโฟน
คลาริเน็ตเป็นเครื่องดนตรีประเภทเครื่องเป่าลมไม้ที่พัฒนามาจากเครื่องดนตรีในสมัยกลางเรียกว่า Chalumeau เป็นเครื่องดนตรีที่มักทำจากไม้หรือพลาสติก ทำให้เกิดเสียงได้โดยการใช้ลิ้นเดี่ยวซึ่งรัดติดกับปากเป่าแบบเดียวกับแซกโซโฟน
ประวัติประมาณ 3,000 ปีก่อนคริสต์ศักราชเล่ากันว่ามีเครื่องเป่าชนิดหนึ่งชื่อว่า Memet ทำจากไม้ที่เหลาปลายลำตัวเครื่องให้เป็นลิ้น ต่อมาราว 2,000 ปีก็ได้มีเครื่องดนตรีชื่อ Chalumeau เกิดขึ้นซึ่งเป็นคำแสลง ภาษาฝรั่งเศสแปลว่าประกายไฟที่กำลังปะทุ แต่เมื่อเป็นชื่อของเครื่องดนตรีเวลาที่ทำให้เป็นพหูพจน์จึงต้องเปลี่ยนรูปเป็น Chalumeaux เป็นเครื่องดนตรีประเภทปี่ลิ้นเดี่ยว ถือกำเนิดขึ้นในยุคกลาง ในช่วงคริสต์ศตวรรษที่ 12 และได้รับความนิยมมาจนถึงช่วงกลางของยุคบาโรก ซึ่งนับเป็นบรรพบุรุษโดยตรงของคลาริเน็ต
จนกระทั่งยุคสมัยคลาสสิกคลาริเน็ตจึงมีบทบาทแทนที่ชาลูโมจนหมดสิ้น จากนั้นก็มีผู้พัฒนาการต่อมาเรื่อย ๆ และเริ่มใช้กันอย่างแพร่หลายในวงออร์เคสตราเมื่อปี ค.ศ. 1780 และเข้ามาแทนที่โอโบในวงโยธวาทิตได้ในที่สุด
เครื่องเป่าไม้ลมไม้ก็ถือว่าเป็นเครื่องดนตรีอีกประเภทหนึ่ง ที่มีความนิยมมาก ด้วยเสียงที่เป็นเอกลัษณ์และมีความไพเราะ สื่อถืออารมณ์ได้ดี ไม่แพ้เครื่องดนตรีสากลประเภทอื่นเลย