เครื่องดนตรีประเภทอิเล็กทรอนิกส์ มีกี่ชนิดอะไรบ้าง

เครื่องดนตรีอิเล็กทรอนิกส์

            เครื่องดนตรีอิเล็กทรอนิกส์เป็นเครื่องดนตรีในยุคสมัยที่เริ่มใหม่ขึ้นมาแล้ว เนื่องจากมีวิธีการผลิตที่นำเอาเทคโนโลยีชั้นนำมาใช้ทำให้การเล่นเครื่องดนตรีเป็นเรื่องที่ง่ายขึ้น ซึ่งอุปกรณ์ดนตรีอิเล็กทรอนิกส์เครื่องแรกได้รับการพัฒนาเมื่อปลายศตวรรษที่ 19 ในช่วงปี ค.ศ. 1920 และ 1930 มีการแนะนำเครื่องดนตรีอิเล็กทรอนิกส์จำนวนหนึ่งจนมีการแต่งเพลงประกอบชุดแรกขึ้นในทศวรรษที่ 1940 และการผลิตดนตรีอิเล็กทรอนิกส์ก็เริ่มแพร่กระจายโดยทั่วไป แม้ช่วงศตวรรษที่ 20 สิ่งประดิษฐ์รูปแบบใหม่นี้มิได้ถูกทำเพื่อขาย เพียงแต่ถูกนำไปจัดแสดงในที่สาธารณะให้ผู้ชมได้รับชมและรับฟังเท่านั้น แต่ก็ได้รับความสนใจจากประชาชนจนประสบความสำเร็จในที่สุด

            เครื่องดนตรีที่ถูกจัดให้อยู่ในประเภทเครื่องอิเล็กทรอนิกส์มีหลากหลายชนิด โดยสามารถให้กำเนิดเสียงเลียนแบบเครื่องดนตรีที่อยู่ในประเภทอื่น ๆ ได้ และก็ถูกสร้างขึ้นมาเพื่อเป็นทางเลือกอีกทางที่สะดวกและง่ายในการเล่นดนตรีมากขึ้น เครื่องดนตรีที่เป็นที่นิยมและพอจะคุ้นหน้าคุ้นตามีอะไรบ้าง เราไปดูกันเลย

เครื่องดนตรีอิเล็กทรอนิกส์

กลองไฟฟ้า

เครื่องดนตรีอิเล็กทรอนิกส์ 2

          กลองไฟฟ้าถูกผลิตขึ้นเพราะต้องการเบาเสียงตีของกลองชุดลงเนื่องจากกลองชุดมีเสียงดังเกินไป และผู้ผลิตก็ต้องการสร้างกลองที่สามารถตีในบ้านหรือในอพาร์ตเมนต์เล็ก ๆ ได้ จึงทำให้กลองไฟฟ้าถือกำเนิดขึ้นมา

          กลองไฟฟ้าประกอบด้วยโมดูลเสียงอิเล็กทรอนิกส์ที่สร้างเสียงเพอร์คัชชันแบบสังเคราะห์ ชุดของ ‘แพด’ ที่มักจะสร้างเป็นรูปทรงคล้ายกับกลองและฉาบ ซึ่งติดตั้งเซ็นเซอร์อิเล็กทรอนิกส์หรือทริกเกอร์เพื่อส่งสัญญาณอิเล็กทรอนิกส์ไปยังโมดูลเสียงที่ส่งสัญญาณเสียงไปยังเครื่องเล่นเหมือนกับกลองทั่วไป แผ่นเสียงจะถูกตีด้วยไม้กลองและเล่นในลักษณะเดียวกันกับกลองชุดอะคูสติก แต่ก็จะมีความแตกต่างกันตามประสบการณ์การตีกลองของแต่ละคน

เครื่องดนตรีอิเล็กทรอนิกส์ 3

            กลองไฟฟ้าชุดแรกถูกสร้างขึ้นในช่วงต้นทศวรรษ 1970 โดยบุคคลที่ชื่อว่า Graeme Edge มือกลองของThe Moody Blues ร่วมกับศาสตราจารย์ Brian Groves จากมหาวิทยาลัย Sussex ในปี 1976 กลองชนิดนี้ประกอบด้วยเครื่องกำเนิดเสียงไฟฟ้าและแผ่นกลองอย่างน้อยหนึ่งแผ่น และยังได้รับความสนใจอย่างรวดเร็ว เครื่องดนตรีอิเล็กทรอนิกส์นี้ได้รับความสนใจมาก ๆ จากนักดนตรีร็อก-ป๊อปที่มีชื่อเสียงและมีอิทธิพล จนปี 1980 เป็นต้นไปก็เริ่มมีบริษัทอื่น ๆ ทยอยขายกลองไฟฟ้าของ Simmons รุ่นของตัวเอง โดยเฉพาะ Pearl, Roland และ Yamaha ซึ่งในขณะนั้นกลองไฟฟ้ามีความคล้ายคลึงกับชุดเริ่มต้นหรือชุดเริ่มต้นจากยุค 2016

            ข้อดีที่ทำให้กลองไฟฟ้าเป็นที่นิยมเพราะกลองไฟฟ้าไม่จำเป็นต้องใช้ไมโครโฟนที่มีราคาแพงและซับซ้อน และไม่ต้องจัดเตรียมขาตั้งขนาดใหญ่สำหรับการบันทึกเสียง ซึ่งแตกต่างจากกลองอะคูสติก แต่กลองไฟฟ้าสามารถรับเสียงได้ผ่านการเชื่อมต่อสัญญาณออกหรือ MIDI ได้เลย ด้วยเหตุนี้กลองไฟฟ้าจึงเหมาะสำหรับการศึกษา ฝึกฝน และทดลองประยุกต์ใช้องค์ประกอบต่าง ๆ แม้จะไม่สามารถสร้างเลียนเสียงกลองชุดอะคูสติกได้อย่างสมบูรณ์แบบก็ตาม แต่ก็เป็นตัวเลือกที่ดีอีกตัวหนึ่งสำหรับผู้เริ่มต้น โดยเฉพาะในยุคปัจจุบันที่กลองไฟฟ้าพัฒนาก้าวไกลจนได้รับความนิยมแพร่หลาย

คีย์บอร์ดไฟฟ้า

เครื่องดนตรีอิเล็กทรอนิกส์ 4

            เครื่องดนตรีอิเล็กทรอนิกส์ชนิดนี้มีความน่าสนใจมาก ๆ เพราะสามารถทำหน้าที่เป็นตัวแทนตัวโน้ตเครื่องดนตรีหลาย ๆ ชนิดจนทำให้เพลงสมบูรณ์แบบมากขึ้นได้ โดยเจ้าเครื่องคีย์บอร์ดไฟฟ้าตัวแรกนั้นถูกคิดค้นขึ้นครั้งแรกในปี 1874 จากนักประดิษฐ์ที่มีชื่อว่าเอลิชา เกรย์ (Elisha Gray) เขาได้สร้างซินธิไซเซอร์ตัวแรกขึ้นด้วยการสร้างเสียงบนปุ่มของแป้นพิมพ์เครื่องมือสื่อสารไฟฟ้า (โทรเลข) เครื่องมือชิ้นนี้เรียกว่า The Musical Telegraph ซึ่งมีแค่ 2 octaves เท่านั้น และมันก็เป็นเครื่องดนตรีที่มีต้นกำเนิดในศตวรรษที่ 14 จากเครื่องดนตรีคีย์บอร์ดแรก ๆ คือ Spinet and Harpsichord แต่ก็ยังมีจุดที่บกพร่องอยู่มาก ยังต้องนำมาพัฒนาปรับปรุงจากแนวคิดและโครงสร้างเดิมมาเป็นคีย์บอร์ดที่เชื่อมโยงกับคอมพิวเตอร์ศในตวรรษที่ 20 (ค.ศ. 1920) จนเรียกได้ว่าเป็นจุดสุดยอดพัฒนาการของคีย์บอร์ด

            ใช้เวลาจากปี 1875-1920 หรือประมาณ 45 ปี การจดสิทธิบัตรและเปลี่ยนชื่อเป็น “Electric Telegraph for Transmitting Musical Tones” ก็เกิดขึ้นในปี 1875 นี้เอง หลังจากนั้นการพัฒนาของคีย์บอร์ดไฟฟ้าก็ช้าลง และนอกจากนี้ในยุคหนึ่งเรายังเคยเรียกคีย์บอร์ดไฟฟ้าว่าอิเล็กโทน เพราะบริษัทที่ผลิตคีย์บอร์ดไฟฟ้าขึ้นมาดันเรียกมันว่า Electone นั่นเอง

     

เครื่องดนตรีอิเล็กทรอนิกส์ 5

            การทำงานของคีย์บอร์ดไฟฟ้านั้นจะสร้างเสียงขึ้นมาทันทีเมื่อแป้นกดเสียงโน้ตของมันถูกกด โดยจะมีการผลิตเสียงผ่านระบบคอมพิวเตอร์ภายในตัวเครื่อง โดยทั่วไปแล้ว คีย์บอร์ดไฟฟ้าจะมีปุ่มตัวเลขเล็ก ๆ หรือจานหมุนเล็ก ๆ สำหรับใช้เปลี่ยนแปลงรูปแบบเสียงเพื่อการร่วมบรรเลงให้กับแนวเพลงที่แตกต่างกันออกไป รูปแบบเสียงภายในคีย์บอร์ดไฟฟ้าจะมีให้ผู้ใช้ได้เลือก มีตั้งแต่เสียงเปียโน ฮาร์ปซิคอร์ด แคลฟวิคอร์ด ออร์แกน กีต้าร์ กีต้าร์เบส, ทรัมเป็ต ทรอมโบน แซกโซโฟน หีบเพลงชัก รวมไปถึงเสียงกลุ่มเครื่องสายภายในวงออร์เคสตรา เสียงกลุ่มเครื่องเป่าภายในวงโยธวาทิต เสียงสังเคราะห์ชนิดต่าง ๆ จากเครื่องสังเคราะห์เสียง รวมไปถึงเสียงเครื่องเคาะประกอบจังหวะ เช่น คองกา บองโก ไทรแองเกิล แทมบูรีน มาราคัส และกลองชุด เป็นต้น

            โดยทั่วไปแล้วคีย์บอร์ดไฟฟ้ามักถูกใช้ร่วมบรรเลงกับดนตรีสากลหลากหลายแนว เช่น ป็อป ร็อก แจ๊สอาร์แอนด์บีร่วมสมัย และดนตรีอิเล็กทรอนิกส์ เป็นต้น คีย์บอร์ดไฟฟ้าเคยได้รับความนิยมมากในช่วงทศวรรษที่ 80 ในการบรรเลงดนตรีแนวนิวเวฟ โปรเกรสซีฟร็อก นิวเอจ แจ๊สฟิวชัน ยูโรแดนซ์ และซินธ์ป็อป นอกจากดนตรีสมัยใหม่แล้วคีย์บอร์ดไฟฟ้ายังใช้ร่วมบรรเลงกับดนตรีพื้นบ้านบางแนวอย่างลูกทุ่งได้ด้วยเช่นกัน

            เนื่องจากคีย์บอร์ดไฟฟ้ามีขนาดที่กะทัดรัดและมีความสามารถในการจำลองเสียงเครื่องดนตรีสากลได้หลากหลายประเภทจึงทำให้ได้รับความนิยมจากเหล่านักดนตรีมาจนถึงปัจจุบัน

เปียโนไฟฟ้า

เครื่องดนตรีอิเล็กทรอนิกส์ 6

            เมื่อมีคีย์บอร์ดไฟฟ้าก็แน่นอนว่าต้องมีเปียโนไฟฟ้าด้วยเช่นกัน เปียโนไฟฟ้าเป็นเครื่องดนตรีขนาดใหญ่ที่สร้างเสียงเมื่อคีย์ถูกกดลง และเกิดจากกลไกภายในเครื่องตีสาย คำว่าเปียโนเป็นตัวย่อของคำว่า เปียโนฟอร์เต (Pianoforte) ซึ่งเป็นคำจากภาษาอิตาเลียนแปลว่า “เบาดัง” มาจากความสามารถของเปียโนที่จะปรับความดังหรือความเบาได้ตามแรงที่กดคีย์

            ในฐานะเครื่องสายแล้วเปียโนมีความคล้ายคลึงกับคลาวิคอร์ดและฮาร์พซิคอร์ด แตกต่างกันเพียงวิธีการสร้างเสียง สายฮาร์พซิคอร์ดจะถูกดีดหรือเกาโดยขนนก ส่วนสายของคลาวิคอร์ดจะถูกเคาะด้วยกลไกที่ยังคงสัมผัสกับสายอยู่ตลอดเวลาหลังการเคาะเพื่อบังคับความถี่ของการสั่น ส่วนสายเปียโนถูกเคาะด้วยลิ่มที่สะท้อนกลับในทันทีเพื่อให้เกิดการสั่นของสายได้อย่างเป็นอิสระ

คียบอร์ดไฟฟ้า กับ เปียโนไฟฟ้าต่างกันอย่างไร ??

คีย์บอร์ดไฟฟ้ากับเปียโนไฟฟ้าต่างกันอย่างไร

            จริง ๆ แล้วเครื่องดนตรีทั้งสองประเภทมีหน้าที่ในวงแบบเดียวกันคือการให้เสียงคีย์ดนตรี 

            ส่วนแรกที่แตกต่างคือลิ่มคีย์ เพราะเปียโนไฟฟ้านั้นจำลองคีย์แบบแกรนด์เปียโนหรือเปียโนไม้ ซึ่งมีน้ำหนักตอนกด มีนักดนตรีที่ชอบและไม่ชอบตรงนี้ต่างกันไป ส่วนที่ชอบนั้นเป็นเพราะว่าการมีน้ำหนักกดจะสามารถกะน้ำหนักนิ้วมือให้เข้ากับอารมณ์ของเพลงได้ แต่ก็มีบางคนที่ชอบลิ่มคีย์แบบไร้น้ำหนักเพราะจะเล่นได้ง่ายกว่า ยิ่งถ้าเป็นเด็กหรือผู้หญิงการที่ลิ่มคีย์น้ำหนักน้อยจะทำให้เคลื่อนไหวนิ้วได้สะดวกและพริ้วไหวมากกว่า

            ส่วนที่ 2 ที่แตกต่างคือคีย์บอร์ดมีการพัฒนาแป้นคีย์ให้มีจำนวนเยอะขึ้น แต่ส่วนใหญ่แล้วจะให้มาที่ 61 คีย์หรือ 76 คีย์เพราะเป็นจำนวนคีย์ที่เล่นได้ง่าย อีกทั้งคีย์บอร์ดทั่วไปจะมีลูกเล่นที่การเพิ่มอ็อคเต็ปหรือเพิ่มระดับเสียงขึ้นไปอีกขั้น ดังนั้นการมีแป้นคีย์ที่มากอาจจะเกินความจำเป็นเกินไป โดยเฉพาะเรื่องของราคา ซึ่งแตกต่างกับเปียโนไฟฟ้าที่แทบจะจำลองเปียโนแกรนด์มาเต็มรูปแบบ โดยมากจะมี 88 คีย์แบบฟูลไซส์ เพราะต้องการให้ความรู้สึกเหมือนเล่นเปียโนจริง ถ้าใครชอบแบบเปียโนเลยอาจจะหงุดหงิดที่แป้นคีย์มีน้อยเกินไป ซึ่งก็แล้วแต่ความชอบของตัวผู้เล่นเอง

            ความต่างต่อไปคือ “ลูกเล่น” ตรงนี้คีย์บอร์ดจะได้เปรียบกว่า และหลัง ๆ คีย์บอร์ดได้มีการปรับรูปแบบมาเป็นซินธ์ หรือแม้แต่คีย์บอร์ดใบ้ ซึ่งทำมาให้เหมาะสำหรับการทำเพลง รองรับการใช้โปรแกรมต่าง ๆ จาก iOS และ Android ลูกเล่นจำพวกเอฟเฟคมีมากกว่าเปียโนไฟฟ้าที่เป็นรูปแบบเดิม ถ้าเป็นคนรุ่นใหม่ที่ทำเพลงลงยูทูปจะเหมาะกับคีย์บอร์ดมากกว่า และเหมาะสำหรับการเล่นคนเดียวหรือสำหรับคนที่ต้องการเสียงเครื่องดนตรีอื่น ๆ ครบถ้วน ส่วนเปียโนไฟฟ้านั้นเหมาะกับคนที่ชอบเสียงเปียโนเพียว ๆ มากกว่าเพราะมีเปียโนไฟฟ้าไม่กี่รุ่นเท่านั้นที่ฟังก์ชั่นมากกว่าคีย์บอร์ด

            ส่วนที่ 4 ที่ต่างกันคือ “แพดเดิ้ล” แพดเดิ้ลนั้นถือเป็นจุดขายของเปียโนไฟฟ้าก็ว่าได้ ซึ่งจำลองมาจากเปียโนจริงที่จะมีแป้นเหยียบ 3 อัน ได้แก่ Damper Pedal, Soft Pedal และ Sostenuto Pedal ซึ่งจะเป็นลูกเล่นในการปรับเสียงเปียโนให้มีหางเสียง มีความสั้นยาวและสั่นในเนื้อเสียง ตรงนี้นับเป็นเสน่ห์ของเปียโนไฟฟ้าอย่างแท้จริง ต่างจากคีย์บอร์ดที่จะใช้การปรับแต่งลูกเล่นเรื่องเสียงจากโปรแกรมในตัวเครื่องหรือปุ่มต่าง ๆ บนหน้าจอ ถ้าใครชอบความคลาสสิกรับรองว่าต้องชอบเปียโนไฟฟ้ามากกว่า เพราะการใช้ขานั้นทำให้มือมีอิสระมากกว่า เป็นเอกลักษณ์ที่คีย์บอร์ดยากจะเลียนแบบ แม้ว่าจะมีคีย์บอร์ดบางรุ่นที่เริ่มทำ Paddle ออกมาแต่ยังถือว่าสู้เปียโนไฟฟ้าไม่ได้

            ส่วนที่ 5 คือเรื่องของ “เสียง” แม้ว่าจะเป็นเครื่องดนตรีที่ให้เสียงโน้ตต่าง ๆ เหมือนกัน แต่เปียโนไฟฟ้าขึ้นชื่อคำว่า “เปียโน” มากกว่า เพราะไม่ว่าเปียโนไฟฟ้ารุ่นไหน ๆ ก็จะมีจุดขายตรงที่สามารถทำเสียงใกล้เคียงเปียโนจริงได้ ส่วนคีย์บอร์ดนั้นจุดขายจะเป็นเรื่องความหลากหลายของเสียง ถ้าใครชอบซาวด์ที่มีน้ำหนักและนุ่มอาจจะชอบแนวเปียโนไฟฟ้า ส่วนคีย์บอร์ดจะมีความเป็นเสียงอิเล็กโทรนิกกว่า เรื่องอารมณ์จึงแตกต่างกันพอสมควร

            อย่างไรก็ตามเปียโนก็ถือเป็นเครื่องดนตรีที่สำคัญในดนตรีคลาสสิกตะวันตก ดนตรีแจ๊ส ภาพยนตร์ รายการโทรทัศน์ และดนตรีอีกหลายรูปแบบ ทั้งยังเป็นเครื่องดนตรีที่ได้รับความนิยมอย่างสูงในหมู่ชนชั้นกลางและบรรดาชนชั้นสูง

อิเล็กโทน

เครื่องดนตรีอิเล็กทรอนิกส์ 7

            มาถึงเครื่องดนตรีชนิดสุดท้ายที่ไม่ค่อยมีประวัติบอกเล่ามากนัก อิเล็กโทนจัดเป็นคีย์บอร์ดที่ใช้ระบบไฟฟ้าที่ถูกพัฒนาต่อมาจากออร์แกนไฟฟ้า โดยปกติจะมีคีย์กด 2 ชั้น ได้แก่ ชั้นล่าง ไว้ใช้เล่นคอร์ดส่วนใหญ่จะเล่นด้วยมือซ้าย และชั้นบน สำหรับเล่นทำนอง มักจะใช้เล่นด้วยมือขวา ด้านบนของเครื่องอิเล็กโทนจะมีปุ่มควบคุมต่าง ๆ สามารถใช้ตั้งโปรแกรมเสียงกลองจังหวะและปรับระดับความช้าเร็วของจังหวะได้ ด้านล่างบริเวณตำแหน่งของเท้าซ้ายจะมีคีย์กดเสียงขนาดใหญ่ไว้สำหรับใช้เท้าเหยียบเพื่อเดินเสียงเบสได้ด้วย

            ในปัจจุบันอิเล็กโทนจะมีเสียงของเครื่องดนตรีสากลชนิดต่าง ๆ เกือบทุกชนิด อิเล็กโทนจึงเป็นคีย์บอร์ดระบบไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ที่สามารถเล่นได้ทั้งเสียงกลอง เสียงเบส เสียงคอร์ด และเสียงทำนองได้ครบถ้วนภายในเครื่องเดียวและในเวลาเดียวกัน บางชนิดก็เหมือนเสียงจริง บางชนิดอาจจะไม่ค่อยเหมือนมากนัก แต่เสียงที่เล่นได้จึงค่อนข้างเหมือนกับเสียงของวงดนตรีทั้งวง

            จบเรื่องราวเกี่ยวกับเครื่องดนตรีอิเล็กทรอนิกส์ชนิดต่าง ๆ ที่พอจะเป็นที่รู้จักและคุ้นหน้าคุ้นตาแล้ว แต่ก่อนจะจบลงทางเพจอยากจะขอบอกเล่าแถมให้อีกนิดว่านักดนตรีอิเล็กทรอนิกส์คนแรกของโลกมีชื่อว่า Halim Abdul Messieh EI-Dabh เป็นพลเมืองอเมริกันที่เกิดในประเทศอียิปต์ หากไม่มีชายคนนี้ก็คงไม่มีผู้ริเริ่มเล่นเครื่องดนตรีอิเล็กทรอนิกส์จนเป็นที่นิยมอย่างในปัจจุบัน